เมนู

ทำความเห็นให้ผิดไปจากความเห็น เที่ยว
ไปอยู่ ดูก่อนปสูระ ท่านจะได้สู่รบโต้ตอบ
อะไร ในพระอรหันต์ผู้ไม่มีความยึดถือว่า
สิ่งนี้ประเสริฐในโลกนี้.
ถ้าท่านคิดถึงทิฏฐิทั้งหลายอยู่ด้วยใจ
ถึงความตรึกไปต่าง ๆ คือเอาความเป็นคู่แข่ง
กับพระพุทธเจ้า ผู้กำจัดกิเลสได้แล้วไซร้
ท่านจะสามารถเพื่อถือเอาความเป็นคู่แข่งให้
สำเร็จไม่ได้เลย.

จบปสูรสูตรที่ 8

อรรถกถาปสูรสูตรที่ 8


ปสูรสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า อิเธว สทฺธี สมณพราหมณ์ผู้ประกอบ
ด้วยทิฏฐิ ย่อมกล่าวว่า ความบริสุทธิ์มีอยู่ในธรรมนี้เท่านั้น ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี
ปริพาชกชื่อว่า ปสูระ เป็นผู้มีวาทะจัดจ้าน เขาพูดว่า ในชมพูทวีปทั้งสิ้นเรา
เป็นผู้เลิศด้วยวาทะ เพราะฉะนั้นต้นชมพูปรากฏแก่ชมพูทวีปฉันใด แม้เราก็
ควรเป็นฉันนั้น จึงเอากิ่งชมพูทำเป็นธง ทำให้ผู้โต้วาทะครั่นคร้ามไปทั่วชมพู
ทวีป เขาเดินทางมาถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ ก่อกองทรายไว้ที่ประตูเมือง ปัก

กิ่งชมพูไว้ที่กองทรายนั้น กล่าวว่าผู้ใดสามารถโต้วาทะกับเรา ผู้นั้นจงหักกิ่ง
ไม้นี้แล้วเข้าเมืองไป. มหาชนได้ยืนล้อมที่นั้น.
สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรกระทำภัตกิจเสร็จแล้วออกจากกรุงสาวัตถี
เห็นกิ่งไม้นั้น จึงถามพวกเด็ก ๆ หลายคนว่า เจ้าหนูทั้งหลาย นี่อะไรกัน พวก
เด็กบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ทราบ. พระเถระกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงถอน
กิ่งไม้นั้นแล้วเอาเท้าหักเสีย กล่าวว่า พวกเธอจงบอกเขาว่า ผู้ต้องการโต้วาทะ
จงมายังวิหาร ดังนี้. ปริพาชกเที่ยวบิณฑบาตทำภัตกิจเสร็จแล้วเดินกลับ เห็น
กิ่งไม้ถูกถอนแล้วหักทิ้งจึงถามว่านี่ใครทำ เมื่อได้รับคำตอบว่า พระสารีบุตร
ผู้เป็นพุทธสาวกให้เด็กทำ เขายินดีคิดว่าวันนี้พวกบัณฑิตจะได้เห็นความชนะ
ของเราและความปราชัยของสมณะ จึงเข้าไปกรุงสาวัตถีเพื่อนำผู้รู้เหตุเป็นผู้
ทดสอบปัญหา แล้วเที่ยวประกาศไปตามถนนและทางสี่แพร่งว่า ท่านทั้ง
หลายประสงค์จะฟังความเฉียบแหลมด้วยปัญญาในการโต้วาทะกับอัครสาวก
ของพระสมณโคดมจงพากันออกมา. พวกมนุษย์เป็นอันมากที่เลื่อมใสบ้าง ไม่
เลื่อมใสบ้างในพระศาสนาพากันออกไปด้วยคิดว่าจักฟังถ้อยคำของบัณฑิต. ลำ-
ดับนั้นปสูรปริพาชกแวดล้อมด้วยมหาชน ตรึกวาทะมีอาทิว่า เมื่อพระสารีบุตร
กล่าวอย่างนี้เราจักกล่าวอย่างนี้ได้ไปยังวิหาร. พระเถระดำริว่า เสียงเอ็ดอึง
และรบกวนผู้คนอย่าได้มีในวิหารเลย จึงให้ปูอาสนะเเล้วนั่งที่ซุ้มประตูพระ
เชตวัน. ปริพาชกเข้าไปหาพระเถระกล่าวว่า บรรพชิตผู้เจริญ ท่านให้เด็ก
หักธงกิ่งชมพูของเราหรือ ? เมื่อพระเถระตอบว่า เป็นความจริงปริพาชก. เขา
จึงกล่าวว่า ช่างเถิด ท่านผู้เจริญ เราทั้งสองเริ่มกล่าวอะไร ๆ กันเถิด. พระ-
เถระรับว่า ตกลงปริพาชก. เขากล่าวว่า สมณะท่านจงถาม ข้าพเจ้าจะแก้.

ครั้งนั้น พระเถระได้กล่าวกะปริพาชกว่า ดูก่อนปริพาชก ถามยาก
หรือแก้ยาก. เขาตอบว่า บรรพชิตผู้เจริญ การแก้ยากกว่าถาม เพราะใครจะ
ถามอย่างไร ๆ ก็ได้. พระเถระกล่าวว่า ปริพาชก ถ้าเช่นนั้นท่านถามเถิด
เราจักแก้. เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้วปริพาชกคิดพิศวงว่า ภิกษุดูก็มีรูปงาม
ให้เด็กเอาเท้าหักกิ่งไม้ได้ จึงถามพระเถระว่า อะไรเป็นกามของบุรุษ. พระเถระ
ตอบว่า ความกำหนัด เพราะดำริ เป็นกามของบุรุษ. ปสูรปริพาชกฟังดังนั้น
มีความสำคัญในพระเถระว่าพลาดไปแล้ว ประสงค์จะยกให้พระเถระเป็นผู้แพ้
จึงกล่าวว่า ท่านบรรพชิตผู้เจริญ ท่านมิได้กล่าวถึงอารมณ์อันงดงามวิจิตรว่า
เป็นกามของบุรุษดอกหรือ. พระเถระตอบว่า ถูกแล้วปริพาชก เราไม่กล่าว
อย่างนั้น. แต่นั้นปริพาชกให้พระเถระรับรองตลอด 3 ครั้งแล้วเรียกผู้ตัดสิน
ปัญหามาว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงพึงความผิดในวาทะของสมณะเถิด แล้ว
กล่าวว่า บรรพชิตผู้เจริญ เพื่อนพรหมจรรย์ของท่านยังอยู่ในป่าหรือ. พระ-
เถระตอบว่า ถูกแล้วปริพาชก. ถามว่า เพื่อนพรหมจรรย์เหล่านั้นอยู่ในป่า
ยังตรึกถึงกามวิตกเป็นต้นอยู่หรือ. ตอบว่า ถูกแล้วปริพาชก ปุถุชนทั้งหลาย
ยังตรึกอยู่เป็นประจำ. ถามว่า ผิว่าเป็นอย่างนั้น ความเป็นสมณะของเพื่อน
พรหมจรรย์เหล่านั้นอยู่ที่ไหนเล่า นอกนั้นยังเป็นผู้บริโภคกามครองเรือนอยู่.
มิใช่หรือ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงกล่าวเป็นคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
สิ่งสวยงามในโลกมิใช่กามของท่าน
และท่านกล่าวความกำหนัดเพราะความดำริ
ว่าเป็นกาม แม้ภิกษุของท่านเมื่อดำริใน
อกุศลวิตก ก็จักเป็นผู้บริโภคกาม.

ลำดับนั้น พระเถระเมื่อจะแสดงความผิดในวาทะของปริพาชกจงกล่าว
ว่า ปริพาชกท่านไม่กล่าวถึงความกำหนัดเพราะความดำริว่าเป็นของบุรุษ ท่าน
กล่าวถึงอารมณ์งดงามวิจิตรว่าเป็นกามหรือ. ปสูรปริพาชกตอบว่า ถูกแล้ว
บรรพชิตผู้เจริญ. ลำดับนั้น พระเถระให้ปสูรปริพาชกรับรองตลอด 3 ครั้ง
แล้วเรียกผู้ตัดสินปัญหามาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พวกท่านจงฟังความผิด
ในวาทะของปริพาชกเถิด แล้วกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสปสูระ ศาสดาของท่านยังมี
อยู่หรือ. ปสูระตอบว่า ยังมีอยู่บรรพชิต. ถามว่า ศาสดานั้นย่อมเห็นรูปารมณ์ที่
ควรรู้ได้ด้วยจักษุ หรือว่าเสพสัททารมณ์เป็นต้น. ปริพาชกตอบว่า ใช่ ย่อม
เสพบรรพชิต ถามว่า ผิว่าเป็นอย่างนั้น ความเป็นศาสดาของศาสดานั้นอยู่ที่
ไหน ศาสดานั้นยังเป็นผู้บริโภคกามครองเรือนอยู่มิใช่หรือ ครั้นพระเถระกล่าว
อย่างนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ความงดงามในโลกเป็นกามของท่าน
แล ท่านไม่กล่าวถึงความกำหนัดเพราะ
ความดำริว่าเป็นกาม เมื่อเห็นรูปน่ารื่นรมย์
เมื่อฟังเสียงน่ารื่นรมย์ เมื่อดมกลิ่นน่ารื่น-
รมย์ เมื่อลิ้มรสน่ารื่นรมย์ เมื่อถูกต้องผัสสะ
น่ารื่นรมย์ แม้ศาสดาของท่านก็จักเป็นผู้ยัง
บริโภคกามอยู่.

เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกจนปัญญาคิดว่า บรรพชิต
นี้เป็นผู้มีวาทะน่านับถือเราจักบวชในสำนักของบรรพชิตนี้แล้วศึกษาตำราการ

พูด จึงเข้าไปยังกรุงสาวัตถีแสวงหาบาตรจีวรเข้าไปยังพระเชตวัน เห็นพระ
โลฬุทุายี ณ ที่นั้นมีกายสีทองน่าเลื่อมใสโดยตลอดในอาการร่างกายและมารยาท
เข้าใจว่าภิกษุรูปนี้คงมีปัญญามาก คงเป็นนักพูด จึงบวชในสำนักของท่านแล้ว
ข่มท่านด้วยวาทะหลีกเข้าไปสู่ลัทธินั้นแหละพร้อมด้วยเพศแล้วคิดว่าเราจักทำ
การโต้วาทะกับพระสมณโคดมอีก จึงประกาศในกรุงสาวัตถีโดยนัยก่อนนั้นแล
แวดล้อมด้วยมหาชน กล่าวอยู่ว่าเราจักข่มพระสมณโคดมเป็นต้นได้ไปยังพระ-
เชตวัน. เทวดาที่สิงอยู่ ณ ซุ้มประตูพระเชตวันคิดว่า ผู้นี้ไม่ควรต้อนรับจึงได้
บันดาลปิดปากเขาเสีย ปสูระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่งเหมือนคน
ใบ้. พวกมนุษย์คิดว่า เดี๋ยวท่านปสูระคงจักถามต่างมองหน้าปสูระนั้น แล้วพา
กันตะโกนว่า ท่านปสูระพูดซิ ท่านปสูระพูดซิ. ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ปสูระจะพูดได้อย่างไร เมื่อทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกัน ณ
ที่นั้นจึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
ในคาถาต้นนั้นพึงทราบความสังเขปดังต่อไปนี้ สมณพราหมณ์ผู้ประ
กอบด้วยทิฏฐิเหล่านี้ย่อมกล่าวว่า ความบริสุทธิ์มีอยู่ในธรรมนี้เท่านั้นหมายถึง
ทิฏฐิของตน แต่ไม่กล่าวถึงความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่น. เมื่อเป็นอย่างนี้
สมณพราหมณ์เป็นอันมากกล่าวความดีงามในศาสดาเป็นต้นของตนที่ตนอาศัย
แล้วเท่านั้นว่านี้เป็นวาทะอันดีงาม ยึดมั่นในสัจจะเฉพาะอย่างมีว่าโลกเที่ยงเป็น
ต้น. พึงทราบคาถาว่า ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้นยึดมั่นอย่างนี้ ประสงค์จะ
กล่าวโต้ตอบกัน,
ในบทเหล่านั้น บทว่า พาลํ ทหนฺติ มิถุ อญฺญมญฺญํ ย่อมโต้-
เถียงกันและกันว่าเป็นคนเขลา คือชนทั้งสองนั้นย่อมโต้เถียงกันและกัน ว่าเป็น

คนเขลา ย่อมเห็นโดยความเป็นคนเขลาว่า คนนี้เป็นคนเขลา คนนี้เป็นคน
เขลา ดังนี้. บทว่า วทนฺติ เต อญฺญสิตา กโถชฺชํ คือ สมณพราหมณ์
เหล่านั้นอาศัยศาสดาของกันและกันเป็นต้น ย่อมกล่าวคำทะเลาะกัน. บทว่า
ปสํสกามา กุสลาวทานา ปรารถนาความสรรเสริญสำคัญว่าเราเป็นคนฉลาด
คือ ปรารถนาแต่ความสรรเสริญเป็นผู้มีความสำคัญว่า แม้เราทั้งสองก็เป็นผู้มี
วาทะฉลาด มีวาทะเป็นบัณฑิต. พึงทราบคาถาต่อไปว่า ยุตฺโต กถายํ
ขวนขวายหาถ้อยคำวิวาท โดยกำจัดวาทะหนึ่งในบรรดาวาทะเหล่านั้น อย่างนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยุตฺโต กถายํ คือ ขวนขวายหาถ้อยคำวิวาท.
บทว่า ปสํสมิจฺฉํ วินิฆาติ โหติ ปรารถนาแต่ความสรรเสริญกระทบกระ-
เทียบกัน คือ ปรารถนาความสรรเสริญของตนกล่าวถ้อยคำกระทบกระเทียบกัน
มาก่อน โดยนัยมีอาทิว่าเราจักข่มได้อย่างไรหนอ. บทว่า อปาหตสฺมึ ใน
เพราะวาทะอันผู้ตัดสินไม่ท่าให้เลื่อมใส ความว่า ในเพราะวาทะอันผู้ตัดสิน
ปัญหาไม่ทำให้เลื่อมใสโดยนัยมีอาทิว่า ท่านกล่าวปราศจากอรรถ ท่านกล่าว
ปราศจากพยัญชนะ ดังนี้. บทว่า นินฺทาย โส กุปฺปติ บุคคลนั้นย่อมโกรธ
เพราะความนินทา คือบุคคลนั้นย่อมโกรธเพราะความนินทาอันเกิดขึ้นในวาทะ
อันผู้ตัดสิน ไม่ทำให้เลื่อมใสอย่างนี้. บทว่า รนฺธเมสี คือผู้แสวงหาโทษ
ของคนอื่น. พึงทราบคาถาต่อไปว่า ไม่แต่โกรธอย่างเดียว ยังกล่าววาทะของ
บุคคลนั้นว่าเป็นวาทะเสื่อมสิ้นอีกด้วย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปริหีนมาหุ อปาหตํ ผู้ตัดสินปัญหาทั้งหลาย
กล่าววาทะของบุคคลอันตนไม่ทำให้เลื่อมใสแล้วว่าเป็นวาทะเสื่อมสิ้น คือ กล่าว

วาทะอันตนไม่ทำให้เลื่อมใสแล้วโดยอรรถและโดยพยัญชนะเป็นต้นว่าเป็นวาทะ
เสื่อมสิ้น. บทว่า ปริเทวติ บุคคลผู้มีวาทะเสื่อมย่อมคร่ำครวญ คือ บุคคล
นั้นย่อมบ่นเพ้อด้วยคำมีอาทิว่า เรานึกถึงวาทะอื่นแล้วอันมีวาทะที่ไม่ทำให้
เลื่อมใสนั้นเป็นนิมิต. บทว่า โสจติ บุคคลผู้มีวาทะเสื่อมสิ้นย่อมเศร้าโศก คือ
ย่อมเศร้าโศกปรารภคำมีอาทิว่า เขานั่นแหละเป็นผู้ชนะ. บทว่า อุปจฺจคา
มนฺติ อนุตฺถุนาติ
ผู้มีวาทะเสื่อมย่อมทอดถอนใจว่าท่านผู้นี้กล่าวสูงเกินเรา
ไป คือ เขาบ่นเพ้อเป็นอย่างดีโดยนัยมีอาทิว่า มีวาทะเกินเราไป.
ปริพาชกภายนอกท่านเรียกว่า สมณะ ในบทนี้ว่า เอเต วิวาทา
สมเณสุ
ความวิวาทเกิดแล้วในพวกสมณะ. บทว่า เอเตสุ อุคฺฆาติ นิคฺฆาติ
โหติ
ความกระทบกระทั่งกัน ย่อมมีในเพราะวาทะเหล่านี้ คือมีจิตกระทบ
กระทั่งกันด้วยการชนะและการแพ้เป็นต้น ย่อมมีในวาทะเหล่านั้น. บทว่า
วิรเม กโถชฺชํ คือพึงเว้นการทะเลาะกันเสีย. บทว่า น หญฺญทตฺถตฺถิ
ปสํสลาภา
ความสรรเสริญและลาภย่อมไม่มีเป็นอย่างอื่นไปเลย คือ ไม่มี
ความต้องการอย่างอื่นนอกจากความสรรเสริญและลาภในวาทะนี้.
พึงทราบความคาถาที่หกต่อไป. ก็เพราะความสรรเสริญและลาภย่อม
ไม่มีเป็นอย่างอื่นไป ฉะนั้น บุคคลนั้นแม้ได้ลาภอย่างยิ่งก็ยังกล่าววาทะนั้น
ในท่ามกลางบริษัทเป็นผู้อันบุคคลสรรเสริญในเพราะทิฏฐินั้นว่า ผู้นี้เป็นคนดี
แต่นั้นบุคคลนั้น ด้วยต้องการความชนะนั้นจึงถึงความยินดีหรือยิ้มแย้ม ย่อม
รื่นเริงและเย่อหยิ่งด้วยมานะ. เพราะเหตุไร. เพราะได้ถึงความต้องการชัยชนะ
นั้นสมใจนึก. พึงทราบคาถาว่า การยกตนของบุคคลผู้ยกตนเป็นอย่างนี้.

ในบทเหล่านั้น มานาติมานํ วทเต ปเนโส บุคคลนั้นย่อมกล่าว
ถึงการถือตัวและการดูหมิ่น คือ บุคคลนั้นไม่รู้ถึงการยกตนนั้นว่าเป็นพื้นแห่ง
ความกระทบกัน ย่อมกล่าวถึงการถือตัวและการดูหมิ่นอยู่นั่นเอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงถึงโทษในวาทะอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อไม่ทรงรับวาทะของปสูรปริพาชกนั้น จึงตรัสคาถาว่า สูโร ผู้กล้าหาญ
ดังนี้เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ราชขาทาย ได้แก่ราชขาทนิยาหาร (อาหาร
ที่พระราชาพระราชทานเลี้ยง). ท่านอธิบายว่า ด้วยค่าจ้างคือภัต.1 บทว่า
อภิคชฺชเมติ ปฏิสูรมิจฺฉํ ปรารถนาพบทหารผู้เป็นปฏิปักษ์กันย่อมคำราม คือ
ท่านแสดงว่าบุคคลผู้นั้นเป็นเจ้าทิฏฐิ ปรารถนาพบบุคคลผู้เป็นเจ้าทิฏฐิ เหมือน
ผู้กล้าหาญปรารถนาพบผู้เป็นปฏิปักษ์กัน ย่อมคำรามเข้าหากัน ฉะนั้น. บทว่า
เยเนว โส เตน ปเลหิ ได้แก่ ท่านจงไปยังที่ที่บุคคลผู้เป็นเจ้าทิฏฐิผู้เป็น
ปฏิปักษ์ของท่านอยู่เถิด. บทว่า ปุพฺเพว นตฺถิ ยทิทํ ยุธาย กิเลสชาติ
เพื่อการรบนี้มิได้มีในกาลก่อนเลย คือท่านแสดงว่ากิเลสชาติเพื่อการรบนี้มิได้มี
ในกาลก่อนเลย กิเลสชาตินั้นเราตถาคตละเสียได้ ณ ควงแห่งต้นโพธิ์นั่นแล.
คาถาที่เหลือมีการเชื่อมกันชัดแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิวาทยนฺติ คือ วิวาทกัน. บทว่า ปฏิเสนิ-
กตฺตา
ท่านผู้กระทำเป็นข้าศึก คือ ผู้ทำตรงกันข้าม. บทว่า วิเสนิกตฺวา
คือกำจัดเสนา คือกิเลสให้พินาศไป. บทว่า กึ ลเภถ ท่านจะได้อะไร คือ
ท่านจักได้สู้รบโต้ตอบอะไร. บทว่า ปสูร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกปริ-
1. ม. บาลีว่า ภตฺตเวตเนน.

พาชกนั้น. บทว่า เยสีธ นตฺถิ คือ ในพระอรหันต์ผู้ไม่มีความยึดถือใน
โลกนี้. บทว่า ปวิตกฺกํ ความตรึกทั่วไป คือ ความตรึกมีอาทิว่า ความชนะ
จักมีแก่เราในที่นี้หรือไม่หนอ. บทว่า โธเนน ยุคํ สมาคมา ถือความเป็น
คู่แข่งกับท่านผู้กำจัดกิเลส คือ ถือความเป็นคู่แข่งกับพระพุทธเจ้าผู้กำจัดกิเลส
ได้แล้ว. บทว่า น หิ ตวํ สกฺขสิ สมฺปยาตเว ท่านจะไม่อาจถือความเป็น
คู่แข็งให้สำเร็จได้เลย ความว่า ท่านไม่สามารถจะถือความเป็นคู่แข่งกับพระ-
พุทธเจ้าผู้กำจัดกิเลส ให้สำเร็จได้แม้แต่บทเดียว หรือ ยังการถือความเป็น
คู่แข่งให้ถึงพร้อมได้ เหมือนหมาไนเป็นต้น ไม่สามารถแข่งกับราชสีห์เป็นต้น
ได้ฉะนั้น. บทที่เหลือในบททั้งปวง ปรากฏชัดแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาปสูรสูตรที่ 8 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

มาคันทิยสูตรที่ 9


ว่าด้วยเรื่องทิฏฐิ 62


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
[416] ความพอใจในเมถุนธรรม
ไม่ได้มีแก่เราเพราะได้เห็นนางตัณหา นาง
อรดี และนางราคาเลย ความพอใจในเมถุน-
ธรรมอย่างไร จักมี เพราะได้เห็นสรีระแห่ง
ธิดาของท่านอันเต็มไปด้วยมูตรและคูถเล่า
เราไม่ปรารถนาจะถูกต้องสรีระแห่งธิดาของ
ท่านนั้นแม้ด้วยเท้า.

มาคันทิยพราหมณ์ทูลว่า
ถ้าพระองค์ไม่ทรงปรารถนานางแก้ว
ที่พระราชาผู้เป็นจอมนระเป็นอันมากทรง
ปรารถนากันแล้วเช่นนี้ไซร้ พระองค์ตรัส
ทิฏฐิ ศีล พรต ชีวิต และการเข้าถึงภพของ
พระองค์เช่นไรหนอ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาคันทิยะ
กิจที่เราวินิจฉัยในธรรม คือ ทิฏฐิ
62 แล้วจึงยึดถือเอาว่า เรากล่าวทิฏฐินี้ว่า